Friday, August 28, 2015


ในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ อัตราการเกิดโรค Celiac Disease  ได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ประชากร ประมาณ 7% ที่มีความไวต่อ Gluten (กลูเทน) ได้รับผลกระทบ   โปรตีนกลูเทนที่พบในผลิตภัณฑ์ที่ทำจากข้าวสาลี ข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์ จึงเป็นอันดับต้นที่เป็นปัญหารุนแรงเกี่ยวกับอาหารในสหรัฐอเมริกา

Gluten (กลูเทน) คืออะไร?
          Gluten  คือ Composite Protein ซึ่งประกอบด้วย Gliadin และ Glutenin พบมากที่สุดในข้าวสาลี ข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์ นอกจากนี้ยังมีอยู่ใน ข้าว ข้าวโพด ข้าวโอ๊ตบางชนิด แต่ข้าวโอ๊ตบางชนิดก็ไม่มี Gluten และไม่ก่อให้เกิดปัญหาในผู้ที่มีความไวต่อ Gluten ด้วย

Celiac Disease คืออะไร
          Celiac Disease คือ การแพ้ Gluten ซึ่งทำให้เกิดการตอบสนองระบบภูมิคุ้มกันในลำไส้ ซึ่งเป็นความผิดปกติที่ค่อนข้างพบยาก อาการของโรค Celiac Disease  อาจรวมถึงอาการต่อไปนี้
  •    ท้องเสียเรื้อรัง
  •    ท้องอืดและปวดท้อง
  •    เคลือบฟันแท้บกพร่อง
  •     อาเจียน
  •    การระคายเคือง
  •    อาการท้องผูก
  •    น้ำหนักลด
  •     ซีด, อุจจาระมีกลิ่นเหม็น หรือ เป็นมัน
ถ้าเกิดกับเด็ก อาจพบอาการเหล่านี้เพิ่มขึ้น:
  •    สมาธิสั้น (ADHD)
  •    มีปัญหาด้านพฤติกรรม
  •    ล้มเหลวในการเจริญเติบโต
  •    โตและเข้าสู่วัยแรกรุ่นช้า
  •    ตัวเตี้ย
          คนที่มีความไวต่อ Gluten (Gluten sensitivity)   จะมีอาการบางอย่างเหมือนกันนี้ แต่แทบจะไม่รุนแรง

อะไรที่ Gluten ทำกับร่างกายของคุณ?
นอกเหนือจากอาการดังกล่าวข้างต้นแล้ว Gluten อาจสร้างความเสียหายในร่างกาย ทำให้การดูดซึมสารอาหารในลำไส้น้อยลง เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดก็อาจทำให้เกิดการสูญเสียกระดูกและโรคกระดูกพรุน และการได้ยินบกพร่อง นอกจากนี้ยังทำให้เกิดผื่นที่ผิวหนังอย่างรุนแรง ที่เรียกว่าโรคผิวหนังอักเสบจากเริม  (Dermatitis Herpetiformis)  และยังมีศักยภาพที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสมองอีกด้วย

จะรู้ได้อย่างไรว่า Gluten เป็นปัญหาสำหรับคุณหรือลูก ๆ ของคุณ หรือไม่
หากคุณสงสัยว่าคุณกำลังได้รับปัญหาจาก Gluten คุณควรพาตัวเอง และลูก ๆ ไปพบแพทย์เพื่อรับการทดสอบ tTGlgA โดยการเจาะเลือด ซึ่งเป็นการทดสอบที่ธรรมดาที่สุด  และเพื่อการยืนยันโรค   Celiac Disease แนะนำให้รับการตรวจวินิจฉัยชิ้นเนื้อของลำไส้เล็ก
ถ้าคุณอยู่ในระหว่างการกินอาหารที่ไม่มี Gluten  คุณอาจจะต้องกลับไปรื้อฟื้นกินอาหารที่มี Gluten สักสองสามเดือนก่อนเข้ารับการทดสอบ เพื่อค้นหาว่า Gluten อาจจะเป็นตัวร้ายในปัญหาทางกายภาพของคุณ ควรหยุดกินอาหารที่มี Gluten สักหนึ่งเดือน บางคนจึงได้พบว่าอาหารที่ไม่มี Gluten  หรือ Gluten free ช่วยแก้ปัญหาการย่อยอาหารของพวกเขาได้

References
Emily Main; 6 Need-to-Know Facts About Gluten; Rodale News; accessed May 9, 2015
Celiac Disease Symptoms; Celiac Disease Foundation; accessed May 9, 2015
Diagnosing Celiac Disease; Celiac Disease Foundation; accessed May 9, 2015


Tuesday, August 25, 2015

Extra Virgin Olive Oil

เรามักจะได้ยินเกี่ยวกับประโยชน์ของ “น้ำมันมะกอก”  หรือ Olive Oil โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Extra Virgin Olive Oil หรือ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ  ซึ่งเป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่ถูกขนานนามว่าดีต่อสุขภาพโดยรวมของคุณ แม้แต่กับผิวและผมของคุณ ในขณะที่น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์มีสีและรสที่เข้มกว่า บริสุทธิ์กว่า และมีศักยภาพด้านประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่า

วิธีการผลิตน้ำมันมะกอก?
น้ำมันมะกอกผลิตจาก “ผลมะกอก”  โดยกระบวนการสกัด  (Extracted) หรือ การบีบ (Pressing)  หลายๆ ครั้งจนได้เป็นน้ำมันสกัด   ในการบีบครั้งที่หนึ่ง จะได้ “น้ำมันบริสุทธิ์พิเศษ(Extra virgin oil) และนี่เองที่ทำให้มันมีรสชาติและสีที่เข้มกว่า นอกจากนี้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่สกัดได้ยังปราศจากการใช้สารเคมีและความร้อนในกระบวนการสกัด  หรือที่เรียกว่า การสกัดเย็น (Cold Pressing) หลังจากนั้นจะผ่านกระบวนการทดสอบ (Test) เพื่อยืนยันเกี่ยวเคมีภายในเนื้อน้ำมัน  และความบริสุทธิ์ (Purity)  หากผลการทดสอบไม่ผ่านเกณฑ์ทั้งหมด  น้ำมันที่สกัดได้จะถูกวางขายในชื่อ  “น้ำมันมะกอก ” (Olive oil)  ไม่ใช่ “น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์” ( Extra virgin olive oil)

ทำไมควรเลือกใช้ “น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์”?
มีเหตุผลหลายประการที่ควรเลือกใช้ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ แม้ว่าจะมีราคาแพงกว่าน้ำมันมะกอกธรรมดาก็ตาม  ประการแรก น้ำมันบริสุทธิ์พิเศษมักจะมีรสชาติที่ดีกว่าเพราะมี  Flavonoids มากกว่า ประการที่สอง น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ มีระดับสูงของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ต่ำกว่า (Monounsaturated Fatty Acids)  นอกจากนี้มีการค้นพบว่า กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวนี้ ยังช่วยควบคุมระดับอินซูลิน อีกด้วย
น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ยังเป็นแหล่งที่ดีของสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)  ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของเราซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหลายคนแนะนำให้บริโภค รวมถึงน้ำมันเพื่อสุขภาพอื่น ๆ ด้วย

การจัดเก็บน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์
เพราะน้ำมันมะกอกมีความสดและอุดมไปด้วย Flavonoids ที่มีความไวต่อแสง จึงควรได้รับการจัดการในรูปแบบพิเศษ จึงไม่ควรเก็บไว้ในพื้นที่ที่มีอาจสัมผัสกับความร้อนหรือแสงมากเกินไป

คลิกที่นี่เพื่อเลือกน้ำมันมะกอกที่เว็บ iHerb! ถ้าคุณไม่เคยซื้อสินค้าที่ iHerb มาก่อน เพียงใช้  Coupon Code นี้; MKF463 เพื่อรับส่วนลด $5 หรือ $10 สำหรับออเดอร์แรก

References
Borreli, Lizette; Olive Oil Benefits: How HighFat Extra Virgin Olive Oil Is Good For Your Immune System; Medical Daily; Accessed June 9, 2015



Monday, August 24, 2015


          ปกติร่างกายของคนเรานั้นจำเป็นต้องมีน้ำตาลในกระแสเลือดในปริมาณที่คงที่เพื่อความอยู่รอด หากน้ำตาลในเลือดมีน้อยเกินไป นั่นแปลว่าเรากำลังลดน้ำตาลในเลือด เราจะ รู้สึกหวิวๆ เหนื่อยและสั่น เมื่อเกิดอาการเช่นนี้ ร่างกายของเราจะบำบัดเป็นสภาวะฉุกเฉิน และจะปลดปล่อย Stress Hormones ได้แก่ Adrenaline และ Cortisol ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้สามารถทำลายเนื้อเยื่อของเราและสุขภาพในระยะยาว ในทำนองเดียวกันถ้าน้ำตาลในเลือดมีมากเกินไป ร่างกายก็จะบำบัดเป็นสภาวะฉุกเฉิน เช่นกัน เมื่อเรากินอาหารหวาน ๆ เช่น ขนมหวาน ดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมาก ๆ เช่น โซดา หรือกินคาร์โบไฮเดรตมื้อใหญ่กับพาสต้า ข้าว หรือขนมปัง น้ำตาลจำนวนมากก็จะท่วมในกระแสเลือดของเราทั้งหมดในครั้งเดียว และน้ำตาลส่วนเกินจะทำลายเนื้อเยื่อของเราตลอดกระบวนที่เรียกว่า "Glycation"

           Glycation เป็นกระบวนการที่โมเลกุลน้ำตาลเชื่อมโยงข้ามกับโมเลกุลของโปรตีนที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของผิว Glycation ส่งผลกระทบอย่างยิ่งยวด ต่อคอลลาเจนที่เป็นโปรตีนหลักในผิวหนังของเรา ยิ่งกินน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตมากเท่าไหร่ คอลลาเจนก็จะถูกทำลายมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อเวลาผ่านไป​​การล่มสลายของคอลลาเจนนี้จะนำไปสู่การเร่งการสูญเสียความยืดหยุ่นของผิวซึ่งเป็นอาการหลักของริ้วรอยก่อนวัย นอกจากนี้ยังอาจเกิดปัญหาอื่น ๆ ที่ร้ายแรงตามมา เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular) ไตถูกทำลาย (Kidney Destruction) และอื่น ๆ อีกมากมาย

อะไรที่สามารถทำได้?
แน่นอนว่าขั้นตอนแรกคือ การป้องกัน ในประวัติศาสตร์ของเรามนุษย์ไม่เคยกินน้ำตาลมากเช่นปัจจุบันนี้  ตลอดประวัติศาสตร์เรากินคาร์โบไฮเดรตต่อปี ประมาณ 10 ปอนด์ นับแต่เกิดการทำการเกษตรขนาดใหญ่ เช่น อ้อย ข้าวสาลี และข้าว เนื่องจากความต้องการบริโภคคาร์โบไฮเดรตของประชากรได้ระเบิดขึ้นถึงกว่า 120 ปอนด์ต่อปี นั่นเองเป็นสาเหตุทำให้เกิดการทำลายล้างอย่างน่ากลัวต่อผิว และเป็นเหตุของการแพร่กระจายของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอเมริกา

หากคุณเป็นเหมือนหลาย ๆ คน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคอาหารของคุณอาจเป็นเรื่องยาก  บางคนอาจจะบอกว่าเสพติดน้ำตาล สิ่งที่กำลังมาเพื่อช่วย คือ สารสกัดจากสมุนไพรและโภชนาอาหารที่ส่งเสริมสุขภาพของระดับน้ำตาลในเลือด เช่น Gymnema , รากชะเอม (ที่ไม่ใช่ลูกอม) และ Adaptogens (สารปรับสมดุลหรือตัวที่ทำให้ระบบร่างกายคืนสู่สภาวะปกติ) เช่น โสม

           NeoCell Collagen supplements สามารถต่อสู้กับความเสียหายของการบริโภคน้ำตาลส่วนเกินโดยการกระตุ้นกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อผิวที่จะย้อนกลับสัญญาณของริ้วรอยได้เป็นอย่างดี คอลลาเจนถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในผิวอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากหลาย ๆ ปีของการถูกทำลายดังกล่าว ร่างกายของเราไม่สามารถรักษาคอลลาเจนไว้ได้ และยังต้องการการสนับสนุนจากกระบวนการทางชีวภาพที่สำคัญนี้

           สุดท้ายต่อมหมวกไตของเรารับผิดชอบในการผลิต adrenaline/cortisol และตับอ่อนรับผิดชอบในการผลิตอินซูลินจะได้รับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อวัยวะเหล่านี้รับผิดชอบในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้มีสุขภาพดี แต่ไม่สามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวได้ถ้ามันถูกใช้จนหมดไป  ตัวปรับสมดุล (Adaptogens) ที่เป็นดาวดวงเด่น ได้แก่ Eleuthero (อคาโสมไซบีเรียน) Schizandra (สมุนไพรจีนที่มีผลเบอร์รี่ที่ได้รับความเชื่อถือกับคุณสมบัติบำรุงต่างๆ หรือคุณสมบัติทางยา) และ Rhodiola (สมุนไพรจีน/สแกนดิเนเวียนที่ใช้ในการเสริมพลังของร่างกาย ลดความเมื่อยล้าและอ่อนเพลียในสถานการณ์ที่เครียด) ที่มีการใช้กันมานานหลายศตวรรษ และชุมชนวิทยาศาสตร์ได้ทำการสังเกต กับการศึกษาที่ดีเยี่ยมเป็นจำนวนมาก 

           แม้ว่าน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตอาจเป็นตัวที่ให้ความอร่อยแต่การบริโภคมากเกินไปในระยะยาวจะไม่เพียงแต่เร่งกระบวนการเสื่อม แต่ยังทำให้คุณมีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงดังที่กล่าวอีกด้วย


Credit: Neocell Blog

Thursday, August 6, 2015



Servings:          2-3 Servings

Ingredients:

300 g.    Boneless skinless chicken breasts
½ cup    Chili sauce
1 tbsp.   Kikkoman sauce
1 cup     Coconut Milk or Whipping Cream
1 tbsp.   Vegetable Oil
1 tsp.     Sugar
½ cup    Milk/Reduced Fat Milk
1 tbsp.   Garlic, finely chop
½ cup    Onion, finely chop
1 tsp.     Dried Bay leaves (Better if you use 2-3 Fresh Bay leaves)
1 tsp.     Dried Basil leaves, crushed (Better if you use Fresh Basil leaves for decorating on top)

Make it:

  • In nonstick skillet, heat oil over medium-high heat place garlic, onion and chicken stir until the chicken meat half-done or until chicken is no longer pink then set aside.
  • In saucepan, melt coconut milk 1 min. then scoop out two tablespoons, (Reserve for topping) then add Chili sauce mixed well two minutes, stirring occasionally.
  • Add the stir-fried chicken, mixed well, bring to boiled.
  • Add milk, Kikkoman sauce, Sugar, Bay and basil leaves stir 2 min or until chicken is done.
  • Transfer to a dish, top with the remaining coconut milk. You can serve over rice, for two or three. 
Enjoy!


Monday, August 3, 2015

คุณรู้ไหมว่าเท้าของเรามีการเปลี่ยนแปลงขณะที่เรามีอายุมากขึ้น?


นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า ไขมันที่ด้านล่างของเท้าจะลดลงเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น นั่นหมายความว่าเท้าของเราจะได้รับการปกป้องจากแรงกดดันขณะสวมใส่รองเท้าส้นสูง ๆ น้อยลง ซึ่งอาจทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นกว่าที่เคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณสวมรองเท้าส้นเข็ม ที่บังคับให้น้ำหนักตัวไปลงที่ปลายเท้าเกือบทั้งหมด คุณอาจได้รับความเจ็บปวดระทมทุกข์เมื่อมีอายุมากขึ้น  แต่โชคดีที่ยังพอมีวิธีทีช่วยให้คุณสวมใส่ส้นสูงสุดโปรดได้อย่างไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป



เสริมแผ่นรองนุ่มๆ ในรองเท้าของคุณ
เช่น เสริมด้วยแผ่นรองฝ่าเท้าซิลิโคน (Silicone metatarsal pads) เพื่อให้เท้าของคุณพอดีกับรองเท้า และจะทำให้เท้าสบายขึ้น  Silicone metatarsal pads มีการออกแบบให้เหมาะกับหลายตำแหน่งที่ได้รับผลกระทบกับเท้าของเรา


เลือกรองเท้าที่พอดีกับเท้าคุณ
หลายครั้งที่เราซื้อรองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ที่ดูดี แต่ “คับปึ๋ง” หรือ “หลวมโครกจริง ๆ แล้ว เราควรซื้อรองเท้าส้นสูงที่ใส่แล้วต้องไม่มีที่ว่างเหลือระหว่างหลังส้นเท้าของคุณกับส้นรองเท้า เพราะนั่นหมายความว่าเท้าของคุณถูกดันไปข้างหน้าได้มากเกินไปและจะทำให้ทุกข์ทรมานมากกว่าที่เคย รองเท้าส้นสูงที่ดีที่สุดเมื่อใส่แล้วต้องให้ความรู้สึกสบาย ไม่หลวม ไม่บีบรัดด้านข้าง ไม่กดหรือดันไปข้างหน้า ไม่ต้องจิกปลายนิ้วเท้าเวลายืนและเดิน หรือถ้าหากคุณกังวลว่ามันอาจทำให้ลื่นไถลไปข้างหน้าได้ง่าย ก็ควรซื้อแบบที่มีสายรัดข้อเท้า หรือรัดส้นเท้า เพื่อช่วยให้เท้าของคุณอยู่กับที่กับทาง และก้าวย่างได้อย่างมั่นคง


ออกแบบส้นรองเท้าของคุณเอง
ส้นรองเท้าถูกออกแบบมาให้เราเลือกมากมาย แต่ละแบบจะส่งผลกระทบต่อเท้าของคุณแตกต่างกัน แทนที่จะใส่รองเท้าส้นกว้างไม่ถึง  ¼ นิ้ว คุณควรเลือกส้นแบบที่หนากว่า เพราะรองเท้าส้นแหลมคือตัวที่ร้ายที่สุด คุณจะต้องออกแรงเพื่อรักษาสมดุลของน้ำหนักขณะที่เดิน วิ่ง และยืน หรือแม้แต่เวลานั่งนาน ๆ  ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณ นิ้วเท้า ข้อเท้า และน่อง ของคุณเมื่อยหล้า และปวด รองเท้าส้นหนาแบบส้นตึก หรือ Wedge และรองเท้าที่ออกแบบด้านหน้ายกสูง ½” -1” จะช่วยให้เกิดสมดุลบนฝ่าเท้าได้อย่างมหาศาล ช่วยบรรเทาความกดดันเพราะน้ำหนักของคุณกระจายไปอย่างสม่ำเสมอบนรองเท้า ไม่ลงไปที่ใดที่หนึ่งมากจนเกินไป ยังช่วยบรรเทาแรงกดดันในเอ็นร้อยหวายด้วย

        นอกจากนั้นคุณควรพิจารณาความลาดเอียงของรองเท้าของตัวเอง ถ้าคุณสวมรองเท้าแบบด้านหน้าเตี้ยแบนระดับพื้น แต่ส้นสูงปรี๊ด แน่นอนว่าน้ำหนักตัวคุณจะถูกกดไปที่ปลายเท้าเกือบทั้งหมด ในขณะที่บางแบบมีความสูงปรี๊ดเท่ากันแต่ความลาดชันน้อยกว่าเพราะมีการออกแบบที่เสริมความสูงด้านหน้าเพิ่มขึ้นก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเจ็บปวดที่กระดูกข้อเท้า และเท้าของคุณ

        ถ้าคุณเป็นสาวที่รักความสูงเป็นชีวิตจิตใจ แบบที่เรียกว่าถ้าวันไหนไม่ได้สวมส้นสูง (ปรี๊ด) ก็จะไม่ยอมก้าวออกนอกบ้านแล้วละก้อ ลองหันมาสวมรองเท้าแบบหน้าสูงประมาณหนึ่งนิ้วและส้นสูงในแบบที่คุณปลื้ม บางทีคุณอาจจะลืมกลับไปสวมรองเท้าคู่เก่าที่หน้าเตี้ย ๆ แบน ๆ เลยก็ได้.....ไม่เชื่อต้องลอง!

ขอบคุณที่แวะมาค่ะ
Reference:
Bouchez, Coulette; Tips to Avoid Foot Pain From High Heels; WebMD; accessed June 15, 2015