Wednesday, July 29, 2015


ครั้งแรกที่ต้องใช้ชีวิตในต่างแดน เริ่มไม่ถูกว่าจะทำอะไรกิน ปัญหาใหญ่กว่านั้น คือ ทำอาหารไม่เป็น นี่ไม่ใช่เล็ก ๆ เพราะว่าปกติอยู่เมืองไทยก็ไม่ใช่คนที่ทำอาหารกินเองประจำ การเป็นสาวโสด ทำงานหามรุ่งหามค่ำ พึ่งพาแต่อาหารที่คนอื่นทำให้กิน อย่างเช่นบางบริษัทจัดให้วันละสองมื้อ หรือบางบริษัท ไม่จัดอาหารให้ เราก็ต้องหิ้วท้องไปหากินนอกที่ทำงาน เป็นอย่างนั้นมาตลอดชีวิตการทำงาน ครั้นพอออกจากงานมาค้าขายที่ร้านของตัวเอง ก็ยังไม่มีเวลาเพียงพอที่จะทำอาหารกินเองอีก เนื่องจากอยู่ร้านคนเดียว ง่ายที่สุดเวลานั้นคือพึ่งพาอาหารถุงจากตลาดใกล้บ้าน ซึ่งก็มีให้เลือกมากมายหลายแบบ หลายเจ้า (ถ้าไม่คิดมากเกี่ยวกับภาพสุขอนามัยนะกินได้ทุกเจ้าละค่ะ) ตอนอยู่เมืองไทย ทำเป็นแต่ผัด “สารพัดผัก” กับ “ซุปมันฝรั่ง” วนเวียนแค่สองอย่างเท่านี้จริง ๆ
ปีนี้ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก จากการใช้ชีวิตโสด กลายมาเป็นชีวิตคู่ในต่างแดน  คราวนี้คิดหนักว่าอะไรที่สามารถทำกินได้เหมือนอยู่บ้านเราบ้าง หลังจากบ้าบอ กินผัดผัก ข้าวผัด ต้มซุปมันฝรั่ง ไข่เจียว สลับกับอาหารฝรั่งพวก ผัดสปาเก็ตตี้ ผัดมะกะโรนี อยู่สองเดือน ก็เริ่มเบื่อตัวเอง (สามีก็คงเบื่อด้วยแหละแต่ไม่กล้าบ่นมั้ง) ก็หันมาคิดว่าจะทำอาหารไทยอย่างอื่นบ้าง  แต่ทว่าตอนไปช้อปที่วอลมาร์ท ไม่ว่าจะเป็นผัก และเครื่องปรุงรส ก็ค่อนข้างแตกต่างจากเมืองไทย  ยังไม่นับเรื่องสนนราคาของที่นำเข้าจากประเทศอื่นที่แพ้งแพงนะ แม้สามีเป็นคนจ่าย แต่เงินสามีก็คือ “เงินเรา” น่ะแหละ (แต่เงินเราไม่ใช่เงินสามี...อันนี้สามีเป็นคนพูดต่อให้เองเลย พร้อมหัวเราะ) หากมีลู่ทางที่จะประหยัดก็ต้องทำนะ คิดถึงตอนเราทำงานบริษัท ดูแลโรงงานให้เจ้านาย ทุกบริษัท เรายังทุ่มกายถวายชีวิต บริหารทุกอย่างให้สูญเสียน้อยที่สุด จ่ายน้อยที่สุดแต่ได้ประโยชน์มากที่สุด
               เมื่อต้องกลายร่างมาเป็นแม่บ้านเต็มตัวแล้ว ก็ต้องทุ่มกายถวายชีวิตให้ครอบครัว จะกินแบบส่งเดชไม่ได้อีกต่อไป เพราะมีสามีคอยประเมินความสามารถเราอยู่ 55 (หัวเราะค่ะ ไม่ใช่อายุน๊า) ตอนนี้อยากทำพวกแกงกะทิ แกงเขียวหวาน หรือพะแนงให้สามีกินบ้าง จึงไปเดินสำรวจที่วอลมาร์ทอีก ก็เห็นมีเครื่องแกงแบบไทยเราเป็นซองขายนะ แต่เห็นราคาแล้วทำให้คิดไปว่าเราอาจต้องทำเครื่องแกงเอง เพราะเรามีเครื่องปั่นชั้นยอดที่แม่สามีให้มา ไม่ต้องหาครกหาสากให้เมื่อยตุ้ม แต่พอเดินมองหาจะซื้อพริกแห้ง หอมแดง อุแม่เจ้า ราคา พริกแห้งแพ็คใหญ่ 150 บาท มันเยอะเกินจำเป็นกินไปถึงร้อยปีน่าจะได้ ถ้ามีแพ็คเล็กจะดีกว่า ส่วนหอมแดงหัวเท่ากำปั้น 60 กว่าบาท กระเทียมเรามีอยู่แล้ว อ้อ! พริกผง เราก็มี ตายละจะทำพะแนง หรือแกงส้ม แกงเผ็ดจานหรือชามนึง จ่ายพอ ๆ กับกินอาหารนอกบ้านเลยนะนี่  เดินไปเดินมาเห็นขวดซอสพริกเล็ก ๆ ความคิดนึงก็สว่างวาบขึ้นมา เราหยิบขวดซอสพริกลงรถเข็น ซื้อไปเก็บไว้ก่อนละกัน พอกลับถึงบ้านก็ค้นข้อมูลสูตรอาหารไทย ประเภทแกงเผ็ด พะแนง ...อ้าว เราไม่มีกะทิ นี่นา ลืมไปเลย
หลายวันผ่านไป สามีจะไปซื้อของอีก แต่เราไม่อยากไปด้วย เลยเขียนรายการที่ต้องซื้อ พวก Condiment set และ เขียนรายการกะทิพ่วงไปด้วย แต่แล้วก็ฆ่าออก ไม่เอาเปลี่ยนใจเพราะคิดจะลองใช้นม กับวิปปิ้งครีมที่มีอยู่ลองทำดูว่ารสชาติจะเป็นไง สามีก็อ่านก่อนจะใส่กระเป๋าเสื้อ แต่ยังไม่ไปทันที ทำนี่นั่นก่อนแล้วค่อยออกไป สองชั่วโมงผ่านไปเขากลับจากซื้อของ เรากำลังทำอาหารกลางวัน ประโยคแรกที่พูดขึ้นเมื่อเปิดประตูบ้านเข้ามา คือคำสารภาพ ว่า “ผมลืมรายการซื้อของไว้ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ต แต่ผมก็ซื้อเท่าที่จำได้” (ลืมเอาออกตอนเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ก่อนออกไป)...ปรากฏว่าเราได้กะทิกระป๋องจากญี่ปุ่น ราคาเกือบ ห้าเหรียญ มาด้วย แถมใบไทม์ป่นอีกขวดที่ไม่ได้สั่ง ที่สั่งไข่ไก่แต่ไม่ได้ซื้อนี่ของจำเป็นสำหรับทำเบเกอรี่ของเราเลย
วันนี้ได้ฤกษ์พร้อมจะทำ พะแนง ตอนแรกคว้าหมูออกจากช่องฟีซ อ๊ะ...เมื่อวานเพิ่งกินแกงจืดลูกชิ้นหมูเด้งผลิตเองไปนี่น่า งั้นวันนี้ต้องกินไก่ แต่เอ...เราไม่เคยได้ยิน พะแนงไก่ เลยนี่นา... ถ้าเราทำมันจะผิดธรรมเนียมมั๊ยน๊า...เอาน่ะ ไหน ๆ ก็ต้องปรับสูตรอยู่แล้ว ก็ปรับวัตถุดิบหลักไปพร้อมกันเลยละกัน เป็นสูตรส่วนตั้ว ส่วนตัว จึงให้ชื่ออาหารจานนี้ว่า

พะแนงไก่ไทย-อเมริกัน  

ส่วนผสม
  •  อกไก่ หรือสันในไก่ 300 กรัม หรือ สามขีด
  • กะทิ 1 ถ้วยตวง  (กะทิญี่ปุ่นที่ใช้ พอเปิดกระป๋องออกมาข้นเหมือนเนยเลย ไม่ใช่เป็นน้ำเหลวเป๋วเหมือนกะทิกล่องบ้าน เรานะ)
  • ซอสพริก ½ ถ้วยตวง (อันนี้ใช้แทนพริกแกง)
  • นมสด หรือ น้ำ ½ ถ้วยตวง (ถ้าใช้กะทิไทย ไม่ต้องเติมนม/น้ำ)
  • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ (ใช้กะทิแทนได้) 
  • กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ (ถ้าหาไม่ทันอาจใช้กระเทียมผงได้)
  • หอมใหญ่สับละเอียด  ½ ถ้วยตวง (อันนี้ใช้แทน หอมแดงนะจ๊ะ และมีวัตถุประสงค์แอบแฝง คือมันช่วยจับไขมันไม่ให้ตกค้างอยู่ในพุงของเรา ชีวิตนี้ขาดไม่ได้เลยอันนี้)
  • น้ำตาลทราย ช้อนโต๊ะใช้ ขาว หรือจะ บราวน์ ก็ตามสะดวก 
  • ซอสถั่วเหลือง (เราใช้ Kikkoman เพราะหาซอสไทยไม่ได้เลย)
  • ใบมะกรูดสด หรือ จะใช้ ใบแห้งที่ขายใส่ขวด 1 ช้อนชา
  •  ใบโหระพาสด หรือ จะใช้ ใบแห้งบดที่ขายใส่ขวด 1 ช้อนชา

......อุต๊ะ!!!! รายการดูเหมือนเยอะเลยนะนี่.....

วิธีปรุง
  1. เปิดไฟกลาง ใส่น้ำมัน กระเทียม และหอมใหญ่ลงผัดให้หอม พอหอมใหญ่เริ่มใส ก็ใส่เนื้อไก่หั่นลงไปผัดจนเนื้อไก่สุกได้ครึ่งทาง คือเนื้อไม่เป็นสีชมพู ก็ตักออกพักรอไว้
  2. กระทะใบเดิม ใส่กะทิลงไปละลาย พอเดือด ตักออก 2 ช้อนโต๊ะ สำหรับไว้ราดหลังปรุงเสร็จ
  3. ใส่ซอสพริกลงไปผัดกับกะทิจนหอม ใช้ไฟกลาง
  4. จากนั้นใส่เนื้อไก่ที่พักไว้กลับลงไปคนให้เข้ากัน เคี่ยวต่อจนกะทิจะเริ่มงวด ใส่นมสด หรือน้ำลงไป (นมสดจะได้รสอร่อยกว่าน้ำจ้ะ)
  5. พอเดือดอีกครั้ง ปรุงรสด้วย ซอสถั่วเหลือง ใบมะกรูด ใบโหระพา น้ำตาล คนให้เข้ากันชิมรสตามชอบทิ้งไว้ 1 นาที
  6. ปิดไฟ ยกลง เสิร์ฟใส่จาน ราดหน้าด้วยกะทิที่แบ่งไว้  หรือ ตักราดบนข้าว สำหรับเสิร์ฟเป็นอาหารจานเดียว ได้ สองที่
เมนูนี้ทำตั้งแต่เดือน มีนาคม 2015 หาผักสวนครัวสด ๆ ไม่ได้เลยใช้แต่เครื่องปรุงรสแห้ง ๆ หน้าตาจึงไม่สดใสเท่าที่ควร จานนี้สามารถพัฒนาให้ดูดีขึ้น โดยการหั่นพริกแดง 3-4 เสี้ยว แต่งหน้า แต่พอดีพริกเราหมด แต่ขอบอกว่า รสชาติอร่อยจนตกใจ  (:  ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถ.....(ขอยกหางนิดนุงน๊า)


        หากคุณมีสูตรเด็ด ๆ ขอเชิญแชร์ผ่าน Post a Comment ด้านล่างได้นะคะจะยินดีมากจริงๆค่ะ


ถ้าชอบกดแชร์นะค๊า

ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ





0 ความคิดเห็น:

Post a Comment