Wednesday, July 29, 2015


ครั้งแรกที่ต้องใช้ชีวิตในต่างแดน เริ่มไม่ถูกว่าจะทำอะไรกิน ปัญหาใหญ่กว่านั้น คือ ทำอาหารไม่เป็น นี่ไม่ใช่เล็ก ๆ เพราะว่าปกติอยู่เมืองไทยก็ไม่ใช่คนที่ทำอาหารกินเองประจำ การเป็นสาวโสด ทำงานหามรุ่งหามค่ำ พึ่งพาแต่อาหารที่คนอื่นทำให้กิน อย่างเช่นบางบริษัทจัดให้วันละสองมื้อ หรือบางบริษัท ไม่จัดอาหารให้ เราก็ต้องหิ้วท้องไปหากินนอกที่ทำงาน เป็นอย่างนั้นมาตลอดชีวิตการทำงาน ครั้นพอออกจากงานมาค้าขายที่ร้านของตัวเอง ก็ยังไม่มีเวลาเพียงพอที่จะทำอาหารกินเองอีก เนื่องจากอยู่ร้านคนเดียว ง่ายที่สุดเวลานั้นคือพึ่งพาอาหารถุงจากตลาดใกล้บ้าน ซึ่งก็มีให้เลือกมากมายหลายแบบ หลายเจ้า (ถ้าไม่คิดมากเกี่ยวกับภาพสุขอนามัยนะกินได้ทุกเจ้าละค่ะ) ตอนอยู่เมืองไทย ทำเป็นแต่ผัด “สารพัดผัก” กับ “ซุปมันฝรั่ง” วนเวียนแค่สองอย่างเท่านี้จริง ๆ
ปีนี้ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก จากการใช้ชีวิตโสด กลายมาเป็นชีวิตคู่ในต่างแดน  คราวนี้คิดหนักว่าอะไรที่สามารถทำกินได้เหมือนอยู่บ้านเราบ้าง หลังจากบ้าบอ กินผัดผัก ข้าวผัด ต้มซุปมันฝรั่ง ไข่เจียว สลับกับอาหารฝรั่งพวก ผัดสปาเก็ตตี้ ผัดมะกะโรนี อยู่สองเดือน ก็เริ่มเบื่อตัวเอง (สามีก็คงเบื่อด้วยแหละแต่ไม่กล้าบ่นมั้ง) ก็หันมาคิดว่าจะทำอาหารไทยอย่างอื่นบ้าง  แต่ทว่าตอนไปช้อปที่วอลมาร์ท ไม่ว่าจะเป็นผัก และเครื่องปรุงรส ก็ค่อนข้างแตกต่างจากเมืองไทย  ยังไม่นับเรื่องสนนราคาของที่นำเข้าจากประเทศอื่นที่แพ้งแพงนะ แม้สามีเป็นคนจ่าย แต่เงินสามีก็คือ “เงินเรา” น่ะแหละ (แต่เงินเราไม่ใช่เงินสามี...อันนี้สามีเป็นคนพูดต่อให้เองเลย พร้อมหัวเราะ) หากมีลู่ทางที่จะประหยัดก็ต้องทำนะ คิดถึงตอนเราทำงานบริษัท ดูแลโรงงานให้เจ้านาย ทุกบริษัท เรายังทุ่มกายถวายชีวิต บริหารทุกอย่างให้สูญเสียน้อยที่สุด จ่ายน้อยที่สุดแต่ได้ประโยชน์มากที่สุด
               เมื่อต้องกลายร่างมาเป็นแม่บ้านเต็มตัวแล้ว ก็ต้องทุ่มกายถวายชีวิตให้ครอบครัว จะกินแบบส่งเดชไม่ได้อีกต่อไป เพราะมีสามีคอยประเมินความสามารถเราอยู่ 55 (หัวเราะค่ะ ไม่ใช่อายุน๊า) ตอนนี้อยากทำพวกแกงกะทิ แกงเขียวหวาน หรือพะแนงให้สามีกินบ้าง จึงไปเดินสำรวจที่วอลมาร์ทอีก ก็เห็นมีเครื่องแกงแบบไทยเราเป็นซองขายนะ แต่เห็นราคาแล้วทำให้คิดไปว่าเราอาจต้องทำเครื่องแกงเอง เพราะเรามีเครื่องปั่นชั้นยอดที่แม่สามีให้มา ไม่ต้องหาครกหาสากให้เมื่อยตุ้ม แต่พอเดินมองหาจะซื้อพริกแห้ง หอมแดง อุแม่เจ้า ราคา พริกแห้งแพ็คใหญ่ 150 บาท มันเยอะเกินจำเป็นกินไปถึงร้อยปีน่าจะได้ ถ้ามีแพ็คเล็กจะดีกว่า ส่วนหอมแดงหัวเท่ากำปั้น 60 กว่าบาท กระเทียมเรามีอยู่แล้ว อ้อ! พริกผง เราก็มี ตายละจะทำพะแนง หรือแกงส้ม แกงเผ็ดจานหรือชามนึง จ่ายพอ ๆ กับกินอาหารนอกบ้านเลยนะนี่  เดินไปเดินมาเห็นขวดซอสพริกเล็ก ๆ ความคิดนึงก็สว่างวาบขึ้นมา เราหยิบขวดซอสพริกลงรถเข็น ซื้อไปเก็บไว้ก่อนละกัน พอกลับถึงบ้านก็ค้นข้อมูลสูตรอาหารไทย ประเภทแกงเผ็ด พะแนง ...อ้าว เราไม่มีกะทิ นี่นา ลืมไปเลย
หลายวันผ่านไป สามีจะไปซื้อของอีก แต่เราไม่อยากไปด้วย เลยเขียนรายการที่ต้องซื้อ พวก Condiment set และ เขียนรายการกะทิพ่วงไปด้วย แต่แล้วก็ฆ่าออก ไม่เอาเปลี่ยนใจเพราะคิดจะลองใช้นม กับวิปปิ้งครีมที่มีอยู่ลองทำดูว่ารสชาติจะเป็นไง สามีก็อ่านก่อนจะใส่กระเป๋าเสื้อ แต่ยังไม่ไปทันที ทำนี่นั่นก่อนแล้วค่อยออกไป สองชั่วโมงผ่านไปเขากลับจากซื้อของ เรากำลังทำอาหารกลางวัน ประโยคแรกที่พูดขึ้นเมื่อเปิดประตูบ้านเข้ามา คือคำสารภาพ ว่า “ผมลืมรายการซื้อของไว้ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ต แต่ผมก็ซื้อเท่าที่จำได้” (ลืมเอาออกตอนเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ก่อนออกไป)...ปรากฏว่าเราได้กะทิกระป๋องจากญี่ปุ่น ราคาเกือบ ห้าเหรียญ มาด้วย แถมใบไทม์ป่นอีกขวดที่ไม่ได้สั่ง ที่สั่งไข่ไก่แต่ไม่ได้ซื้อนี่ของจำเป็นสำหรับทำเบเกอรี่ของเราเลย
วันนี้ได้ฤกษ์พร้อมจะทำ พะแนง ตอนแรกคว้าหมูออกจากช่องฟีซ อ๊ะ...เมื่อวานเพิ่งกินแกงจืดลูกชิ้นหมูเด้งผลิตเองไปนี่น่า งั้นวันนี้ต้องกินไก่ แต่เอ...เราไม่เคยได้ยิน พะแนงไก่ เลยนี่นา... ถ้าเราทำมันจะผิดธรรมเนียมมั๊ยน๊า...เอาน่ะ ไหน ๆ ก็ต้องปรับสูตรอยู่แล้ว ก็ปรับวัตถุดิบหลักไปพร้อมกันเลยละกัน เป็นสูตรส่วนตั้ว ส่วนตัว จึงให้ชื่ออาหารจานนี้ว่า

พะแนงไก่ไทย-อเมริกัน  

ส่วนผสม
  •  อกไก่ หรือสันในไก่ 300 กรัม หรือ สามขีด
  • กะทิ 1 ถ้วยตวง  (กะทิญี่ปุ่นที่ใช้ พอเปิดกระป๋องออกมาข้นเหมือนเนยเลย ไม่ใช่เป็นน้ำเหลวเป๋วเหมือนกะทิกล่องบ้าน เรานะ)
  • ซอสพริก ½ ถ้วยตวง (อันนี้ใช้แทนพริกแกง)
  • นมสด หรือ น้ำ ½ ถ้วยตวง (ถ้าใช้กะทิไทย ไม่ต้องเติมนม/น้ำ)
  • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ (ใช้กะทิแทนได้) 
  • กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ (ถ้าหาไม่ทันอาจใช้กระเทียมผงได้)
  • หอมใหญ่สับละเอียด  ½ ถ้วยตวง (อันนี้ใช้แทน หอมแดงนะจ๊ะ และมีวัตถุประสงค์แอบแฝง คือมันช่วยจับไขมันไม่ให้ตกค้างอยู่ในพุงของเรา ชีวิตนี้ขาดไม่ได้เลยอันนี้)
  • น้ำตาลทราย ช้อนโต๊ะใช้ ขาว หรือจะ บราวน์ ก็ตามสะดวก 
  • ซอสถั่วเหลือง (เราใช้ Kikkoman เพราะหาซอสไทยไม่ได้เลย)
  • ใบมะกรูดสด หรือ จะใช้ ใบแห้งที่ขายใส่ขวด 1 ช้อนชา
  •  ใบโหระพาสด หรือ จะใช้ ใบแห้งบดที่ขายใส่ขวด 1 ช้อนชา

......อุต๊ะ!!!! รายการดูเหมือนเยอะเลยนะนี่.....

วิธีปรุง
  1. เปิดไฟกลาง ใส่น้ำมัน กระเทียม และหอมใหญ่ลงผัดให้หอม พอหอมใหญ่เริ่มใส ก็ใส่เนื้อไก่หั่นลงไปผัดจนเนื้อไก่สุกได้ครึ่งทาง คือเนื้อไม่เป็นสีชมพู ก็ตักออกพักรอไว้
  2. กระทะใบเดิม ใส่กะทิลงไปละลาย พอเดือด ตักออก 2 ช้อนโต๊ะ สำหรับไว้ราดหลังปรุงเสร็จ
  3. ใส่ซอสพริกลงไปผัดกับกะทิจนหอม ใช้ไฟกลาง
  4. จากนั้นใส่เนื้อไก่ที่พักไว้กลับลงไปคนให้เข้ากัน เคี่ยวต่อจนกะทิจะเริ่มงวด ใส่นมสด หรือน้ำลงไป (นมสดจะได้รสอร่อยกว่าน้ำจ้ะ)
  5. พอเดือดอีกครั้ง ปรุงรสด้วย ซอสถั่วเหลือง ใบมะกรูด ใบโหระพา น้ำตาล คนให้เข้ากันชิมรสตามชอบทิ้งไว้ 1 นาที
  6. ปิดไฟ ยกลง เสิร์ฟใส่จาน ราดหน้าด้วยกะทิที่แบ่งไว้  หรือ ตักราดบนข้าว สำหรับเสิร์ฟเป็นอาหารจานเดียว ได้ สองที่
เมนูนี้ทำตั้งแต่เดือน มีนาคม 2015 หาผักสวนครัวสด ๆ ไม่ได้เลยใช้แต่เครื่องปรุงรสแห้ง ๆ หน้าตาจึงไม่สดใสเท่าที่ควร จานนี้สามารถพัฒนาให้ดูดีขึ้น โดยการหั่นพริกแดง 3-4 เสี้ยว แต่งหน้า แต่พอดีพริกเราหมด แต่ขอบอกว่า รสชาติอร่อยจนตกใจ  (:  ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถ.....(ขอยกหางนิดนุงน๊า)


        หากคุณมีสูตรเด็ด ๆ ขอเชิญแชร์ผ่าน Post a Comment ด้านล่างได้นะคะจะยินดีมากจริงๆค่ะ


ถ้าชอบกดแชร์นะค๊า

ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ





Monday, July 27, 2015

นับวันในตลาดสินค้าบริโภคประเภท โยเกิร์ต ยิ่งเติบโตมากขึ้น และมากขึ้น จากที่เคยมีผู้ผลิตเพียงหนึ่งหรือสองแบรนด์  ตอนนี้มากกว่าสิบ แบรนด์ และแต่ละแบรนด์ก็ผลิตออกมาหลากรส กลิ่น สี เท่าที่นับได้จากเว็บขายออนไลน์ของเทสโก้โลตัส มี Nestle, Activia, Betagen, Caroline, Dairy Home, Danone, Dutch Mill/ Dutchie, Foremost, Meiji, Paigen, Richesse, Yoplait.



เป็นที่น่าสังเกตว่า แบรนด์ที่เข้าตลาดยุคหลัง ๆ ตั้งราคาขายแพงกว่า “รุ่นพี่” ซะอีก แค่เพียงใช้กลิ่น สี ของผลไม้เพิ่มเข้าไปและเขียนโฆษณา ให้ “โดนใจสาว ๆ ทุกวัย ถึงจะขายในราคาที่สูงกว่า แม้เพียงจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในตลาดได้....... การแข่งขันสูงขนาดนี้แปลว่า กำไรน่าจะงดงาม.......
อาหารการกินในต่างแดนก็สุดแสนจะแพงเมื่อเทียบกับเงินบาทที่เรากว่าจะหาได้ในเมืองไทย อยู่อเมริกา จะกินโยเกิร์ต ต้องมีอย่างน้อยสองเหรียญ เท่ากับเงินไทย 66 บาท นี่ถ้าซื้อที่ประเทศไทยเราได้ยกแพ็ค กินกันไปเป็นอาทิตย์เลย วันหนึ่งมานั่งคิดว่า เราน่าจะสามารถทำโยเกิร์ตเองได้ .....มือไวเท่าความคิด เรียกใช้ Mr. Google ไม่นานก็ได้พบว่า ความจริงแล้วเราสามารถทำโยเกิร์ตไว้รับประทานเองที่บ้านได้ด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องทำโยเกิร์ต ขอเพียงแต่ในครัวของเรามี Heating pad หรืออะไรที่ทำงานได้คล้าย ๆ กัน อีกอันคือ เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิ แบบจุ่มหรือแทงลงในอาหาร/เครื่องดื่ม หรือแบบคลิปหนีบก็ได้...แค่นี้เอง

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่โปรดปรานการบริโภคโยเกิร์ตทุกวัน  สูตร โฮมเมดโยเกิร์ต นี้เหมาะจริง ๆ คุณจะได้รสชาติดีกว่า และไม่ใส่สารเคมีใด ๆ เจือปน ไร้สารกันบูด แถมประหยัดทรัพย์ในกระเป๋า และยังช่วยลดขยะ ลดการสร้างคาร์บอนไดอ็อกไซด์ทางอ้อมอีกด้วย......มาดูกันเลย

สูตรโฮมเมดโยเกิร์ต

เวลาที่ใช้ในการผลิต:           7 ชั่วโมง 25 นาที โดยประมาณ

ส่วนผสมที่ต้องการ:
1. นม                        1.5 แกลลอน (จะได้โยเกิร์ต 1.5 แกลลอน)
2. Plain Yoghurt หรือ 
   โยเกิร์ตรสธรรมชาติ     2-3 ช้อนโต๊ะ (สำหรับเป็นตัว starter)

อุปกรณ์ที่ต้องการ:
1. หม้อ ขนาดใหญ่       1 (พร้อมฝาปิด)
2. ทัพพี/พาย               1 (ใช้ไดทั้งพลาสติกและโลหะ)
3. Thermometer         1 (แบบจุ่ม หรือแบบคลิปหนีบก็ได้)
4. Heating pad          1 

วิธีทำ:
1. ใส่นมลงไปในหม้อ นำไปต้มให้เดือด หมั่นคนอย่าให้นมจับเป็นก้อนที่ก้นหม้อ หรือเป็นแผ่นฟิล์มที่ผิวหน้า จุ่มเทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิให้ได้ 185°F (85°C) ยกลง
2. จากนั้นทำให้นมเย็นตัว ด้วยการแช่หม้อลงในน้ำเย็น และคอยอย่าให้นมจับตัว และคอยสังเกต
3. เมื่ออุณหภูมิลดลงถึง 110°F (40°C) ให้เติมโยเกิร์ตลงไป กวนให้ละลายดี แล้วยกหม้อตั้งบน Heating pad (ถ้าเป็นแบบมีระดับอุณหภูมิให้เลือก ให้เปิดอุณหภูมิไปที่ Medium) ปิดฝาหม้อ ทิ้งไว้ 7 ชั่วโมง อย่าไปยุ่งกับมัน
4. ครบ 7 ชั่วโมง ให้ยกลงจาก Heating pad แล้วกวน ๆ สองสามครั้ง นำไปวางในตู้เย็น ทิ้งไว้ให้เย็น พร้อมรับประทาน

         โยเกิร์ตที่ได้เป็นรสธรรมชาติ คุณสามารถเพิ่มเติมรสชาติที่ต้องการแต่ละครั้ง ด้วยการเติม น้ำผลไม้ที่ชื่นชอบ หรืออาจผสม กับผลไม้สด ๆ ที่อุดมด้วยวิจะตามิน และไฟเบอร์ ครบ เช่น สตรอเบอร์รี่ เชอร์รี่ บลูเบอร์รี่ องุ่น ฯลฯ


         การมีโยเกิร์ตไว้ประจำในตู้เย็น ยังสามารถใช้ทำ ขนมหวาน หรือ เครื่องดื่มอร่อย ๆ สำหรับเด็ก ๆ หรือเพื่อน ๆ ญาติที่แวะมาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัวได้อีกด้วยค่ะ.....


ทำแล้วผลลัพธ์เป็นยังไง ช่วยแชร์กลับด้วยนะค๊า...
ขอบคุณที่แวะมาค่ะ


Saturday, July 18, 2015

Yummy!!! 


Beside enjoy eating Creamy Potatoes Chicken Casserole, I and my husband also favor the following menu that I'm gonna share you guys. This recipe is medium spicy and sour. Let’s see.

Serving:           2-3 servings with rice 

Ingredients:

6-8          Small Potatoes; peeled and cut into four pieces
2             Boneless skinless chicken breasts; cut into bite‐size pieces
1 ½ Cup Water (or Chicken broth)
1 Cube    Chicken flavor (Don’t need if you use Chicken broth)
1 Cup      Baby carrot; half cut crosswise then lengthwise
1/4          Onion; cut 0.5-Inch lengthwise
1 Stalk    Green onion; cut into 1/2‐Inch
2 Tbsp.   Tomato sauce
1 Tbsp.   Chili sauce
1 Tbsp.   Vegetable Oil
1 Tbsp.    Lemon juice
1 Tbsp.    Kikkoman sauce (or other Soy bean sauce)
½Tsp.      Fresh Basil leaves (I use dried Basil leaves flake because no Fresh leaves)
1 Tsp.      Sugar
                Salt to taste

Make it:
  1. In a 5- to 6-qt saucepan or stockpot boil water, potatoes,  carrot and chicken flavor cube in medium-high heat just half done then transfer from heat set aside.
  2. In another a 7-qt saucepan or stockpot, heat oil on medium, add onions and sauté, stirring occasionally, 5 to 7 minutes until tender.
  3. then add chicken sauté for 2 more minutes or until the color pink disappear
  4. Stir in Tomato sauce and Chili sauce 1 minute or more.
  5. Pour all potatoes and carrot boiled into, increase heat to medium-high. Bring to a boil, then reduce heat to a simmer and cook until potatoes and carrot tender uncovered, 5 minutes or more.
  6. Season with salt, Kikkoman sauce, sugar, lemon juice, Green onion and Basil leaves stirring and transfer from heat. Serve with rice. (If your prefer more spicy just add red pepper or more Chili sauce)
I sometime served with Cooked Rotini or spiral pasta. My husband like this very much, he drank lot water every time having spicy foods.






Thank you for visiting


Wednesday, July 15, 2015

จะว่าไปแล้วการมี “ขนดก” นี่ก็ดีนะ ถ้ามันดกใน “ที่ ๆ ควร”  เช่น ที่คิ้ว ที่ตา ที่ศีรษะ แต่ถ้าไปดก “ที่อื่น” แล้วละก็ อาจทำให้สาว ๆ ขาดความมั่นใจในตัวเองจนกลายเป็น “ปมด้อย” ที่ต้องคอย “ซ่อนเร้น หรือ กำจัด”  ด้วยวิธีต่าง ๆ

เรามี สูตรทำแว็กซ์น้ำตาล หรือ Sugar Wax แสนง่าย และที่ไม่มีสารเคมีผสม มาฝาก.....  เพราะตัวเองเป็น “สาวห้าว” ที่มี “ขนขาดก+ดำ” เส้นหญ่าย และยาววววมว๊าก ทั้งที่ก็ไม่เคยถอน หรือโกน หรือทำอะไรกับมันทั้งสิ้นแต่มันก็ดกเอ๊าดกเอา...แถม “หยักศก” อีกต่างหาก…..ตอนเป็นนักศึกษาก็ไม่เดือดร้อนเพราะเจ้าขนขานี่ เพราะใส่กางเกงตลอด แต่พอเรียนจบ ปัญหาเกิดเลย....อ๊าย...อาย...เพราะต้องใส่กระโปรงไปทำงานทุกวัน วิธีแก้ปัญหา คือเสียเงินซื้อถุงน่องมาสวม.....การใส่ถุงน่องทำให้เรียวขาดูสวยงามนวลเนียนขึ้นมาเป็นกอง (ขาแบบโต๊ะสนุก..ไม่เกี่ยวนะ) ถ้าไม่ตั้งอกตั้งใจดูอย่างจริง ๆ จัง ๆ ก็ไม่มีทางเห็นขนขาเราหร้อก..และนับว่าสวรรค์ยังปรานีที่ไม่ใส่ “หนวดเขียวครึ้ม” เหนือริมฝีปากมาให้ด้วยเหมือนสาว ๆ บางคน แต่จะว่าไป จริง ๆ ถ้าเปลี่ยนขนจากที่ขามาขึ้นที่แขนแทน นี่น่าดีกว่า เพราะเราชอบผู้หญิงที่มีขนแขนยาว ๆ สลวย ๆ น่าลูบไล้อ่ะ....
            ครั้นพออายุอานามย่างกรายเข้าเลขสามสิบแก่ ๆ ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ “แก่” ตามไปด้วย ดังนั้นจึงได้อภิสิทธิ์ไม่ต้องสวมชุดยูนิฟอร์มที่บริษัท จัดให้ทุกปี แถมยังใส่กางเกงไปทำงานก็ได้ ไม่ว่าอะไร นั่นแหละตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้สวมใส่กระโปรงอีกเลย ประหยัดเงินไม่ต้องซื้อถุงน่อง ไม่ต้องเสียเวลาซักด้วย
          อยู่มาวันหนึ่ง เกิดเปลี่ยนใจ ไม่อยากใช้ชีวิต “โสด” ไปจนตาย เพราะอายุอานามก็ขยับใกล้เกษียณเข้าไปทุกขณะ...เหมือนฟ้าจะปรานี (หลังจากปล่อยให้หา “ผู้ชาย” อยู่เป็นปี) ส่งชายคนหนึ่งจากคนละฟากฟ้ามาให้ และได้ตกร่องปล่องชิ้นแต่งงานกันเป็นที่เรียบร้อย แต่..แต่ว่า....หนุ่มผู้นี้บอกว่า “ผมไม่ชอบผู้หญิงที่มีขนขากับขนจั๊กแร้” ว้าว! โชคดีที่เราไม่มีขนใต้วงแขนมานานเกือบสิบปี แต่ว่า...ขนขายังอยู่ครบ....เอาไงดี...ต้องวิ่งโร่หาซื้อแว็กซ์ และไปได้ที่ แพลทตินั่มประตูน้ำ (พอดีไปหาซื้อกางเกงยีนส์)...ราคา”ฮันนี่แว็กซ์” ขวดหนึ่งไม่ใช่ถูก ๆ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่าจ่ายไป เกินสองร้อยอ่ะ (ร้อยห้าสิบก็แพงแล้วสำหรับเรานะ)
            เราว่าการถอนขนขาด้วยวิธีแว็กซ์ นี่ถึงมันจะเจ็บแต่ก็ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ข้อดีคือ ขนใหม่จะขึ้นช้า ขนบางเส้นที่อ่อนแออาจสูญพันธุ์ไปเลย (สังเกตเอาว่ามันหายไป) แต่ข้อเสียก็มี คือจะเกิด “ขนคุด” เพราะขนบางเส้นมันไร้ความสามารถที่จะโผล่ให้ทะลุหนังชั้นนอก เวลาเกิดขนคุด มันจะอักเสบเป็นรอยแดงรอบ ๆ รูขุมขน และทำให้รู้สึกเจ็บ ๆ คัน ๆ แล้วก็จะเกา ๆ ๆ จนถลอก ถ้ารำคาญมากนักก็จะใช้ปลายแหนบขุด ๆ เขี่ย ๆ จนผิวหนังเปิดอก “อัญเชิญ” ขนเส้นนั้นให้โผล่ขึ้นมา และถ้ามันยาวพอที่แหนบคีบติดก็ถอนมันเดี๋ยวนั้นเลย....
หลายสัปดาห์ก่อนได้เจอบทความหนึ่ง ที่ถูกอกถูกใจยิ่งนัก DIY hair removal  จึงอยากจะเอามาเล่า เผื่อว่าหนู ๆ สาว ๆ ที่นิยมซื้อแว็กซ์มา “ถอนขน” ขาตัวเอง เกิดสนใจใคร่จะลอง มันทั้งประหยัดทรัพย์ในกระเป๋า ประหยัดเวลาไม่ต้องย้ายก้นไปนั่งรอคิวที่ร้านเสริมสวย....เริ่มเลยน๊า...

วิธีทำซูการ์แว็กซ์ (Sugar Wax)

  • ส่วนผสมที่ต้องใช้

  1. น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ (เปรี้ยวปากขึ้นมาเชียว)
  2. น้ำตาล 1 ถ้วย
  3. แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
  4. เศษผ้า Cotton  ตัดเป็นชิ้น กว้าง 2.5 นิ้ว ยาว 7 นิ้ว จำนวน 6 ชิ้น (ยาวกว่าไม่เป็นไร แต่ถ้าสั้นกว่าอาจทำให้ดึงได้พื้นที่สั้น ๆ เพราะต้องเผื่อขอบผ้าไว้จับกระตุก)

  •  วิธีทำ

ผสมน้ำมะนาว และน้ำตาลในหม้อใบน้อย เอาขึ้นตั้งไฟเคี่ยวโดยใช้ไฟกลาง-ต่ำ กวนไปเรื่อย ๆ ช้า ๆ จนกระทั่งเดือด จึงหรี่ไฟให้ต่ำสุดแล้วปล่อยให้อุ่นต่อไปจนเป็นเนื้อเนียนเป็นสีทอง ไม่ต้องใส่ใจเวลาและอุณหภูมิ สามารถเคี่ยวไปจนกลายเป็นสีทองเข้ม ๆ ยิ่งดี 

วิธีใช้ : ใช้เมื่อเย็นตัวแล้ว

  • ก่อนอื่นต้องล้างขาให้สะอาดปราศจากเหงื่อไคล ไขมัน ซะก่อน และขัดเบา ๆ เพื่อให้ได้ผลดี เสร็จซับผิวให้แห้ง
  • โรยแป้งข้าวโพด บาง ๆ ลงบนผิว เกลี่ยให้ทั่ว
  • ตักแว็กซ์ทาลงบนขาขนาดพื้นที่เท่าเศษผ้าหนึ่งชิ้น เกลี่ยเนื้อแว็กซ์ให้ทั่ว 
  • วางเศษผ้าปิดทับ และกดลงไปทั่วแผ่น
  • กระตุกปลายผ้าจากด้านล่างขึ้นด้านบนอย่างรวดเร็ว (กระตุกครั้งเดียวเร็วแบบย้อนแนวขน) ความเหนียวของแว็กซ์ จะติดขนดึงให้หลุดออกมา 
  • ทำซ้ำ ทีละครั้ง ๆ จนหมด
  • นำขาของตัวเองไปล้างน้ำ ล้างง่ายไม่ต้องกังวล อย่าลืมล้างเศษผ้าด้วยนะ (แล้วเก็บไว้ใช้ได้อีกชั่วลูกหลานละเลย)
  • บำรุงผิวด้วย Oil หรือ Baby Oil ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรบางครั้งเราก็ลืมที่จะใช้เหมือนกัน
  • ถ้ามีแว็กซ์เหลือจากการใช้ ก็สามารถเก็บใส่ภาชนะที่ปิดฝาแน่น ๆ ใส่ตู้เย็นไว้ใช้ครั้งหน้าได้ 
           “เคล็ดลับ” ของความเหนียว น่าจะเป็นเพราะการโรยแป้งข้าวโพดนี่เอง ที่คิดอย่างนี้ก็เพราะว่าสินค้าที่เราเคยซื้อมาใช้ ไม่มีแป้งข้าวโพดใส่มาด้วย และไม่ได้บอกว่าควรใช้....นั่นซิ! เราว่าบางยี่ห้อหลังเปิดใช้แล้วยังไม่หมด พอเอามาใช้อีกครั้งมันไม่ค่อยเหนียวเหมือนตอนใช้ครั้งแรก ขนไม่ติดผ้าออกมาเลย ต้องทิ้งไปเลย)

          เป็นไงจ๊ะสาว ๆ?  ง่ายซะไม่มี.....ที่เล่าวิธีมาให้ฟังนี่ คนเขียนก็ยังไม่ได้ลองทำนะ เหตุผลน่ะมี...คือตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2015 ได้แว็กซ์ขนขาก่อนเข้าพิธีแต่งงาน แล้วก็ไม่ได้แว็กซ์อีกเลยจนถึงเดี๋ยวนี้ (หกเดือน) เพราะกว่าขนจะขึ้นก็สอง-สามเดือน ซึ่งเดินทางมาอยู่เอมริกาแล้ว (แว็กซ์ที่เหลือก็ไม่ได้หยิบใส่กระเป๋ามาด้วย) ขนขามันก็ขึ้นนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่พร้อมกัน ดังนั้นต้องพึ่งพา “แหนบ” แต่ถ้าจะใช้แว็กซ์ จริงๆ ก็ต้องปล่อยให้ขนขายาวประมาณ 1 ซม. ถึงจะติดผ้าออกมา เพราะขนเส้นใหญ่+แข็งแรงมว๊ากกว่าปกติ....เอาเป็นว่าใครลองทำแล้วได้ผลเป็นไงช่วยส่งข่าวหน่อยละกันนะคะ....

ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ
Credit: iherb blog